11 March 2014

ปรับใจ



ปรับใจ                         

  การกระทำที่ให้โทษแก่ผู้อื่นแม้ไม่มีใครรู้ แต่ตัวเองก็รู้อยู่แก่ใจ อยู่ดี  
ไม่ว่าด้วยกาย วาจา ใจ
แม้การคิดร้ายให้แก่ผู้อื่น  แต่ไม่ได้กระทำ  คิดร้ายและกระทำ
                                                       คิดร้ายกับผู้อื่นให้ผู้อื่นกระทำแทน                                                                                                       หรือแม้แต่ช่วยผู้อื่น คิดที่จะกระทำ (มีส่วนร่วม)                       
ปฏิบัติในสิ่งที่ผู้อื่นบอกให้กระทำ(ทั้งที่รู้ว่าผิด)
ล้วนคือสิ่งที่บาปทั้งสิ้น  

ไม่ว่าด้วยทาง กาย เช่น ตั้งใจทำให้เขาได้รับบาดเจ็บทางกาย ด้วยการกระทำ 

จงใจทำให้เขา หรือผู้หนึ่งผู้ใด ได้รับอันตราย  ฯลฯ ทางกาย

และเป็นทุกข์จากการกระทำ  .......บาป
  ไม่ว่าด้วยทาง วาจา เช่น การพูดสอดเสียด กล่าวว่าร้าย ใส่ร้าย พูดโกหก ไม่จริง
 ปั้นน้ำเป็นตัว นินทรา ปากอย่างใจอย่าง  พูดในสิ่งที่ไม่จริงให้ผู้อื่น
 หรือผู้หนึ่งผู้ใด เสียหาย เสียใจ  เป็นทุกข์ จากการกระทำ ฯลฯ..........บาป

ไม่ว่าด้วยทาง  ใจ เช่น  คิดอกุศลกับศาสนา คิดจะทำให้ผู้อื่นได้เกิดทุกข์
ด้วยความตั้งใจไม่ว่าด้านใดๆ ก็ตาม  หรือผู้หนึ่งผู้ใด เสียหาย เสียใจ  
เป็นทุกข์ จากการกระทำ แม้แต่คิดก็เถอะ........บาป 

                 แม้ไม่รู้ตัวบาปเป็นอย่างไร มีจริงไหม และเป็นสิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้
 แต่เมื่อตัวเราเป็นคนเริ่มต้นที่จะกระทำสิ่งใดก็ตามที่ตั้งใจให้ผู้อื่นเป็นทุกข์
และเราเห็นเขาได้รับผล โดยที่ผู้อื่นรู้ก็ดีไม่รู้ก็ดี และอาจจะมองเขาด้วยความเวทนา 
หรือมีความสุขใจ (หัวเราะเยาะ) นั้นคือการสะสมพลังงานลบ
ไว้ใน กาย ใจ ของตัวเราแล้ว เมื่อถูกสะสมเข้าอยู่ตลอด บางคนไม่รู้ตัวทำจนเป็นนิสัย ที่แก้ยาก 
หรือชอบที่จะทำเพราะการปลดปล่อยและมีความสุขกับการที่ได้ทำต่อผู้อื่น 
(ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ก็ตาม)    ล้วนแต่ทำให้ใจขุ่นมัวทั้งสิ้น 
คนเหล่านี้มักหาความสุขในชีวิตไม่ได้
เพราะมัวแต่คิด-ทำแต่การสร้างเวร  

**********************************

พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าใครทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลของกรรมนั้นแน่นอนหลีกเลี่ยงไม่ได้
 
กัมมัสสะโกมหิ (เรามีกรรมเป็นของๆตน)
 
กัมมะทายาโท (เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น)
 
กัมมะโยนิ (เรามีกรรมนำเกิด)
 
กัมมะพันธุ (เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์พวกพ้อง)
 
กัมมะปะฏิสะระโน (เรามีกรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัย)
 

ยัง กัมมัง กะริสสามิ (เราทำกรรมอันใดไว้) 
กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา (เป็นบุญหรือเป็นบาป)
 
ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ (เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น)
 
อภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง (พึงพิจารณาเห็นเนืองๆดังนี้)
 

ไปทำพิธีตัดกรรมก็เป็นการลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า 


กรรมใดใครก่อไว้แล้วในเมื่อใจเป็นผู้จงใจทำลงไปแล้วเป็นกรรมอันเป็นบาป 

ภายหลังจึงมานึกได้และไม่ต้องการผลของบาป มันก็หลีกเลี่ยงปฏิเสธไม่ได้เพราะใจเป็นผู้สั่งให้กาย
 วาจา ทำลงไป พูดลงไป 
ใจตัวนี้ต้องรับผิดชอบโดยความเป็นธรรมโดยหลักของธรรมชาติ 
เพราะฉะนั้นการที่ไปทำพิธีตัดกรรมนี่หมายถึงตัดผลของบาปนั้นมันตัดไม่ได้ 
อย่าไปเข้าใจผิด 


ถ้าเข้าใจว่าทำบาปทำกรรมแล้วแล้วไปทำพิธีล้างบาปได้ 

ทำพิธีตัดกรรมแล้วมันหมดบาปประเดี๋ยวก็ทำกรรมชั่วแล้วมาหาหลวงพ่อหลวงพี่ตัดบาปตัดกรรมให้ 
มันก็ไม่กลัวต่อบาป
เพราะฉะนั้นอย่าไปเข้าใจผิดว่าทำกรรมอันเป็นบาปแล้วตัดกรรมให้หมดไปได้ มันเป็นไปไม่ได้    “



การตัดกรรม คือ การหยุดทำความชั่วหยุดทำบาป ส่วนการตัดเวร คือ 
การหยุดการพยาบาทอาฆาตจองเวร
ซึ่งกันและกัน คือไม่แก้แค้นซึ่งกัน และกันรู้จักคำว่าให้อภัยซึ่งกันและกัน
 และผู้ที่ทำผิดก็ให้รู้จักคำว่าขอโทษ
 ผู้ที่ถูกขอโทษก็รู้จักคำว่าให้อภัย   อันนี้เป็นอุบายตัดกรรมตัดเวร 



โดย พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)  



เป็นธรรมดาของมนุษย์ ไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่เคยทำผิด แต่เมื่อรู้ตัวแล้ว ว่าผิด ก็สามารถ 
ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ล้วนแต่จะนำมาซึ่งสิ่งที่พัฒนา
ที่ตัวเราได้รับสิ่งเหล่านั้นมาเป็นประสบการณ์ในชีวิต ทั้งสิ้น ไม่เห็นจะแปลกอะไร 
               การเข้าใจตัวเองและยอมรับตัวเอง เป็นสิ่งที่สุดในชีวิตจริงๆ ที่ทำให้ตัวเราใจเราเข็มแข็ง
 ไม่ว่าจะดีหรือร้ายอย่างน้อยเราต้องเข้าใจในตัวเราเสมอ แม้คนอื่นจะมองอย่างไร ช่างเขา เราซิ 
จะต้องประคับประคองตัวเราใจเราในเส้นทางที่พร้อมที่จะเรา หลงทางอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น เมื่อคิดว่ามันดีแล้ว
เหมาะสมแล้ว ไม่ได้ผิดอะไร ทำเถอะ มันคือตัวเราที่ต้องอยู่ต่อไป
 พร้อมกับพลังที่จะสร้างสรรค์ ในชีวิตเพื่อตนเองและแบ่งปันไปยังผู้อื่นได้ด้วย
                กำลังใจรอแต่ผู้อื่นหยิบยื่นมาให้ตลอดก็คงไม่ใช่ ตัวเรา ใจเรา สร้างมันได้ด้วยตัวเราเอง คิด และทำในสิ่งที่ดี สะสมพลังบวก  
เลือกสรร สิ่งที่ทำให้กำลังใจตัวเรา ไม่มีสิ่งเลวร้ายอยู่กับเราตลอดไปหรอก แต่ก็จงเตรียมใจไว้เสมอ 
ไม่ว่าชีวิตเราต้องเจอสิ่งใดเข้ามา ตัวเราใจเรา จะต้องสามารถ จัดการสิ่ง

เหล่านั้นด้วยสติ  แม้จะไขว้เขวไปบ้าง เป็นธรรมดา จงหาทางกลับมาเป็นตัวเราให้จงได้ 
หาสิ่งที่คิดว่าเหมาะกับจริตตัวเอง เช่น สวดมนต์  ฝึกสมาธิ     ออกกำลังกาย ดูTV.
  เล่นเกมส์ อ่านหนังสือ  ,หากิจกรรมทำ ฯลฯ
พักผ่อนกายใจ  รู้จักการแบ่งปัน รู้จักเข้าใจในสิ่งที่แตกต่างของมากมาย อะไรก็เกิดขึ้นได้ 
 จัดการชีวิตตนเองให้พร้อมรับวันใหม่ ที่จะมาถึงเสมอ สุดท้ายแล้วชีวิตก็คือการต่อสู้

เพื่อการอยู่รอด ตัวเราเลือกได้นี่ว่าจะทำแบบใด และจะใช้ชีวิตอย่างไร
ที่จะต้องปลอดภัยและอาศัยปัจจัยที่ชีวิตสมควรจะได้รับมัน ตามสมควรของแต่ละชีวิต ที่แตกต่างกัน
                         สร้างทัศนะคติที่ดีกับตนเองและผู้อื่น  ก็นำมาซึ่งสิ่งที่กำจัดอคติในใจก่อน  คิดในสิ่งที่ดีที่ผ่านเข้ามาก่อนเสมอ
 แม้ที่จริงมันจะคือสิ่งอื่นใดก็ตาม        และบางครั้งรอบตัวเรา ก็โหดร้ายกับเราก็ตาม ใช้สติและทัศนะตามแต่ละคนให้ผ่านไป  แม้มันจะยากแค่ไหน
บอกใจตนเอง  ตามใจตนเองบ้าง เลี่ยงบางอย่างบ้าง หรือจะอะไรก็ตาม มันคือเรา ตัวเราที่อยากจะเป็น  และจงเป็นในสิ่งที่ใจมันโหยหา
อยากจะเป็น เมื่อในสิ่งนั้น ไม่ได้ทำร้ายใคร..
                  ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ดีที่สุด แต่ก็ ปฎิเศษไม่ได้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่เรายังต้องพึ่งพาผู้อื่น 
แต่ก็ขอให้รู้อยู่เสมอว่าเราจะต้องสามารถอยู่ได้ 
เรียนรู้เพื่อวันข้างหน้า อย่างมีสติ และ อยู่อย่างเข้าใจชีวิต
 และธรรมชาติแท้จริงของชีวิต ว่าเราต้องการอะไร
กันแน่ สามารถมองมันแล้วมีทางที่เราคิดว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ 
เมื่อเวลามีบทบาทในชีวิต ในวันหนึ่ง ไม่ว่าจะช้าหรือจะนานเพียงใด

เรายังมีแรง และมองย้อนดูมันคุณอาจจะเจออะไรบางอย่างที่ชีวิตเราต้องการ หรืออาจไม่ต้องการมันแล้ว
 ก็แล้วแต่ความสุขของแต่ละคนที่จะมี

ชีวิตคน ผู้เขียนเปรียบเป็นเช่น  ดั่งต้นไม้ที่ถูกปลูกด้วยดินต่างกัน มาจากหลากหลายพื้นที่ต่างกัน 
และธรรมชาติของแต่ละยีนส์ของ
แต่ละสายพันธ์ต่างกัน  และเมื่อถูกเลี้ยงต่างกัน บางต้นได้ปุ๋ยชั้นดี
 บางต้นได้อากาศที่เป็นใจ ดินดี  ออกดอกใบสมบูรณ์เหลือเกิน บางต้นขาดการดูแล
โตตามธรรมชาติ   บ้างต้นสามารถอยู่และเติบโตอย่างแข็งแรงได้โดยที่
อาศัยธรรมชาติรอบตัวเป็นอาหารเลี้ยงต้นให้อยู่รอด 
แถมสามารถเป็นที่ผึ่งให้ร่มใบแก่ต้นเล็กใบเล็กทั้งหลายให้เติบโตต่อไป   เมื่อเวลาผ่านไป 
ก็หมดไปตามอายุไข ใบล่วง เหี่ยวแห้งเฉา ไม่ออกดอกใบ  และโรยลา เหลือแต่ลำต้นที่
อยู่และไม่ช้าก็สลายไปหรือถูกไปเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ต้องการ  จะต่างอะไรกับชีวิตมนุษย์ 
เพียงแต่เมื่อการยังมีลมหายใจในคนเรานั้น  สามารถทำอะไร
ที่มีทั้งสิ่งที่ดีได้ และไม่สามารถทำในสิ่งที่ดีได้  เลือกเอาดีกว่า ว่าจะใช้ชีวิตยังไงดี.......